ประวัติความเป็นมาของจังหวัดสตูล
ประวัติความเป็นมาของจังหวัดสตูลในสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา และในสมัยกรุงศรีอยุธยาไม่ปรากฏหลักฐานกล่าวไว้ ณ ที่ใด สันนิษฐานว่าในสมัยนั้น ไม่มีเมืองสตูล คงมีแต่หมู่บ้านเล็ก ๆ กระจัดกระจายอยู่ตามที่ราบชายฝั่งทะเล
ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สตูลเป็นเพียงตำบลหนึ่งอยู่ในเขตเมืองไทรบุรี ฉะนั้นประวัติความเป็นมาของจังหวัดสตูล จึงเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของเมืองไทรบุรี ดังปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ ว่า "ตามเนื้อความที่ปรากฏดังกล่าวมาแล้ว ทำให้เห็นว่าในเวลานั้น พวกเมืองไทรเห็นจะแตกแยกกันเป็นสองพวก คือ พวกเจ้าพระยาไทรปะแงรันพวกหนึ่ง และพวกพระยาอภัยนุราชคงจะนบน้อมฝากตัวกับเมืองนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะเมื่อพระยาอภัยนุราชได้มาเป็นผู้ว่าราชการเมืองสตูล ซึ่งเขตแดนติดต่อกับเมืองนครศรีธรรมราช พวกเมืองสตูลคงจะมาฟังบังคับบัญชาสนิทสนมข้างเมืองนครศรีธรรมราชมากกว่าเมืองไทร แต่พระยาอภัยนุราชว่าราชการเมืองสตูลได้เพียง ๒ ปี ก็ถึงแก่อนิจกรรม ผู้ใดจะได้ว่าราชการเมืองสตูล ต่อมาในชั้นนั้นหาพบจดหมายเหตุไม่ แต่พิเคราะห์ความตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง เข้าใจว่าเชื้อพระวงศ์ของพระอภัยนุราช (ปัศนู) คงจะได้ว่าราชการเมืองสตูลและฟังบังคับบัญชาสนิทสนมกับเมืองนครศรีธรรมราชอย่างครั้งพระยาอภัยนุราชหรือยิ่งกว่านั้น"
เรื่องเกี่ยวกับเมืองสตูลยังปรากฏในหนังสือพงศาวดารเมืองสงขลา แต่ข้อความที่ปรากฏบางตอนเกี่ยวกับชื่อผู้ว่าราชการเมืองสตูล ไม่ตรงกับพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ ประวัติเกี่ยวกับเมืองสตูลในการจัดรูปแบบการปกครองเมือง ตามระบอบมณฑลเทศาภิบาลว่า ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รักษาเมืองไทรบรี เมืองเปอร์ลิส และเมืองสตูลเป็นมณฑลเทศาภิบาล เรียกว่า "มณฑลไทรบุรี" โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาไทรบุรีรามภักดี เจ้าพระยาไทรบุรี (อับดุลฮามิต) เป็นข้าราชการเทศาภิบาลมณฑลไทรบุรี เมืองสตูลได้แยกจากเมืองไทรบุรีอย่างเด็ดขาด ตามหนังสือสัญญาไทยกับอังกฤษเรื่องปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับสหพันธรัฐมาลายู ซึ่งลงนามกันที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ร.ศ.๑๒๗ (พ.ศ. ๒๔๕๒) จากหนังสือสัญญานี้ยังผลให้ไทรบุรีและปลิสตกเป็นของอังกฤษ ส่วนสตูลคงเป็นของไทยสืบมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อปักปันเขตแดนเสร็จแล้ว ได้มีพระราชโองการโปรดให้เมืองสตูลเป็นเมืองจัตวารวมอยู่ในมณฑลภูเก็ต เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ร.ศ.๑๒๘ (พ.ศ. ๒๔๕๓)
ในปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย เมืองสตูลก็มีฐานะยกเป็นจังหวัดหนึ่งอยู่ในราชอาณาจักรไทยสืบต่อมาจนถึงกระทั่งทุกวันนี้
คำว่า"สตูล" มาจากคำภาษามาลายูว่า "สโตย" แปลว่ากระท้อน อันเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยู่ชุกชุมในท้องที่เมืองนี้ ซึ่งต่อมาได้รับการตั้งสมญานามเป็นภาษามาลายูว่า "นครสโตยมำบังสการา (Negeri Setoi Mumbang Segara) " หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า สตูล เมืองแห่งพระสมุทรเทวา ดังนั้น "ตราพระสมุทรเทวา" จึงกลายเป็นตราหรือสัญลักษณ์ของจังหวัดมาตราบเท่าทุกวันนี้
จังหวัดสตูล แม้จะอยู่รวมกับไทรบุรีในระยะเริ่มแรกก็ตาม แต่จังหวัดสตูลก็เป็นจังหวัดที่มีดินแดนรวมอยู่ในประเทศไทยตลอดมา ระยะแรก ๆ จังหวัดสตูล แบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๒ อำเภอ กับ ๑ กิ่งอำเภอ คือ อำเภอมำบัง อำเภอทุ่งหว้า และกิ่งอำเภอละงู ซึ่งอยู่ในการปกครองของอำเภอทุ่งหว้า ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้เปลี่ยนชื่ออำเภอมำบังเป็นอำเภอเมืองสตูล สำหรับอำเภอทุ่งหว้า ซึ่งในสมัยก่อนนั้นเจริญรุ่งเรืองมาก มีเรือกลไฟจากต่างประเทศติดต่อ ไปมาค้าขายและรับส่งสินค้าเป็นประจำ สินค้าสำคัญของอำเภอทุ่งหว้า คือ "พริกไทย" เป็นที่รู้จักเรียกตามกันในหมู่ชาวต่างประเทศว่า"อำเภอสุไหวอุเป " ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๕๗ การปลูกพริกไทยของอำเภอทุ่งหว้าได้ลดปริมาณลง ชาวต่างประเทศที่เข้ามาทำการค้าขายต่างพากันอพยพกลับไปยังต่างประเทศ ราษฎรในท้องที่ก็พากันอพยพไปหาทำเลทำมาหากินในท้องที่อื่นกันมากโดยเฉพาะได้ย้ายไปตั้งหลักแหล่งที่กิ่งอำเภอละงูมากขึ้น ทำให้ท้องที่กิ่งอำเภอละงูเจริญขึ้นอย่างรวมเร็ว และในทางกลับกัน ทำให้อำเภอทุ่งหว้าซบเซาลง
ครั้งถึง พ.ศ. ๒๔๗๓ ทางราชการพิจารณาเห็นว่ากิ่งอำเภอละงูเจริญขึ้น มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นกว่าอำเภอทุ่งหว้า จึงได้ประกาศยกฐานกิ่งอำเภอละงูเป็นอำเภอ เรียกว่า อำเภอละงู และยุบอำเภอทุ่งหว้าเดิมเป็นกิ่งอำเภอทุ่งหว้า เรียกว่า กิ่งอำเภอทุ่งหว้า ขึ้นอยู่ในการปกครองของอำเภอละงู ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ กิ่งอำเภอทุ่งหว้าจึงได้รับสถานะเดิมกลับคืนมาเป็นอำเภอทุ่งหว้า
ปัจจุบันจังหวัดสตูล แบ่งการปกครองออกเป็น ๗ อำเภอ คือ
๑. อำเภอเมืองสตูล
๒. อำเภอละงู
๓. อำเภอควนกาหลง
๔. อำเภอทุ่งหว้า
๕. อำเภอควนโดน
๖. อำเภอท่าแพ
๗. อำเภอมะนัง
แผนที่จังหวัดสตูล
แผนที่ท่องเที่ยวเกาะแก่งต่างๆ
อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ......มรดกแห่งอาเซียน
ต. เกาะสาหร่าย อ.เมือง
มื่อเอ่ยชื่อจังหวัดสตูล ทุกคนต้องรู้จักเกาะตะรุเตา เนื่องจากเป็นเกาะที่มีชื่อเสียงโด่งดังในประวัติศาสตร์ เมื่อสมัย 60 ปีที่แล้ว เกาะแห่งนี้เคยใช้เป็นสถานที่กักกันนักโทษเป็นที่มาของโจรสลัดตะรุเตาที่อื้อฉาว ล่วงมาเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2517 ได้ประกาศจัดตั้งเป็น “ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา” เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 8 ถือเป็นอุทยานทางทะเลแห่งแรกและใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ต่อมาองค์การยูเนสโกได้ประกาศให้อุทยานแห่งชาติตะรุเตาเป็น “มรดกแห่งอาเซียน” ( ASEAN Heritage Parks and Reserves ) เป็นสถานที่ที่ต้องช่วยกันดูแลรักษา เพื่อให้ผู้คนทั่วโลกมาศึกษาและเยี่ยมชมตลอดไป
อุทยานแห่งชาติตะรุเตาตั้งอยู่ในหมู่ที่ 7 ตำบลเกาะสาหร่าย อำเภอเมืองสตูล บริเวณช่องแคบ มะละกาในทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย ระยะห่างจากตัวจังหวัด ประมาณ 40 กิโลเมตร และห่างจากเกาะลังกาวีของประเทศมาเลเซีย ประมาณ 5 กิโลเมตร อุทยานแห่งชาติตะรุเตามีพื้นที่ทั้งหมด 1,490 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 931,250.00 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ทะเล 763,625.00 ไร่ และพื้นที่บกและป่าไม้ 167,625.00 ไร่ ประกอบด้วยหมู่เกาะสำคัญ 2 หมู่เกาะ ได้แก่ หมู่เกาะตะรุเตา กับ หมู่เกาะอาดัง – ราวี มีเกาะใหญ่น้อยจำนวน 51 เกาะ กระจายกันอยู่ในทะเลอันดามัน
การเดินทางไปท่องเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติตะรุเตามี 2 เส้นทาง เส้นทางแรกคือ ท่าเทียบเรือปากบารา ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู เป็นท่าเรือน้ำลึกมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยาน ท่าเรือปากบาราอยู่ห่างจากอ่าวพันเตมะละกา 22 กิโลเมตร เส้นทางที่สองคือท่าเรือตำมะลัง อำเภอเมืองสตูล มีเรือเฟอร์รี่เดินทางติดต่อกับอ่าวตะโละวาว ด้านตะวันออกของเกาะตะรุเตา สำหรับผู้ที่ต้องการไปท่องเที่ยวที่หมู่เกาะอาดัง สามารถออกเดินทางจากท่าเรือปากบาราและท่าเรือตำมะลัง ได้เช่นกัน
หมู่เกาะอาดัง-ราวี เกาะไข่ เกาะหินงาม เกาะยาง เกาะดง เกาะลองกวย
ต. เกาะสาหร่าย อ.เมือง
เกาะหลีเป๊ะ
ต.เกาะสาหร่าย อ.เมือง
หลีเป๊ะเพี้ยนมาจากคำภาษามลายู “นิปิส” แปลว่า “บาง” เป็นชื่อเกาะเล็ก ๆ อยู่ห่างจากเกาะอาดังไปทางทิศใต้ราว 1 กิโลเมตร มีขนาดเล็กกว่าเกาะอาดังประมาณหนึ่งเท่า แต่เป็นเกาะที่มีความสำคัญ เนื่องจากลักษณะของเกาะเป็นที่ราบทั่วไป ส่วนที่เป็นภูเขามีเพียงเล็กน้อย เกาะนี้จึงมีผู้คนอาศัยกว่าหนึ่งพันคนเป็นชาวเกาะหรือชาวพื้นเมืองเดิมรู้จักกันในชื่อ “ชาวเล” หรือ “ชาวน้ำ” นั่นเอง มีโรงเรียนตั้งอยู่บนเกาะแห่งนี้ เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงมัธยมปีที่ 3 ชื่อโรงเรียนว่า “โรงเรียนบ้านเกาะอาดัง” ชื่อของโรงเรียนจึงไม่สอดคล้องกับชื่อเกาะ
ทุกวันนี้ เกาะหลีเป๊ะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของอุทยานแห่งชาติตะรุเตา นักท่องเที่ยวได้ไปสัมผัสชีวิตที่เรียบง่ายของชาวเล ดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมประเพณีของพวกเขา พวกชาวเลใช้ภาษาตระกูลออสโตรเนเชียน บางคำก็ยืมมาจากภาษามลายู เนื่องจากนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาตินิยมไปท่องเที่ยวกันมากในแต่ละปี ทำให้วิถีชีวิตของชาวเลแตกต่างไปจากเดิม
จุดเด่นของเกาะหลีเป๊ะ คือ มีหาดทรายขาวสะอาด ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก ซึ่งเป็นที่ตั้งหมู่บ้านชาวเล ย่านชุมชนใหญ่ของเกาะ ด้านทิศตะวันตกมีหาดทรายยาวชื่อเรียกเป็นภาษามลายูว่า “ หาดปะไตดายา” หรือ “หาดลมตะวันตก” นักท่องเที่ยวชาวตะวันตกเรียกเพี้ยนเป็น “พัทยา” จนติดปากผู้คนไปแล้วเอกชนปลูกสร้างรีสอร์ทไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยว บริเวณหาดด้านตะวันออกและด้านตะวันตกของเกาะหลีเป๊ะ กิจการท่องเที่ยวจึงเฟื่องฟูมากทุกวันนี้
เกะหลีเป๊ะมีความสวยงามตามธรรมชาติไม่แพ้เกาะอาดัง รอบ ๆ เกาะอุดมสมบูรณ์ด้วยปะการังหลากสีสัน นักท่องเที่ยวชอบนำชุดประดาน้ำ เพื่อดำลงไปชมความงามของปะการังใต้น้ำ นอกจากนั้น เกาะหลีเป๊ะมีจุดเด่นตรงที่ยามน้ำลด จะปรากฏส่วนกว้างใหญ่ของปะการังโผล่ขึ้นมาให้เห็น สามารถลงไปสัมผัสกับปะการังนั้นโดยตรง ช่วยให้บรรยากาศการท่องเที่ยวน่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง
ถ้ำลอดปูยู..........สตูลก็มีถ้ำลอดเหมือนพังงา
หมู่ที่ 2 ต. ปูยู อ.เมือง
ถ้ำลอดปูยูเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติทะเลบัน ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 3 ตำบลปูยู อำเภอเมืองสตูล อยู่ห่างจากตัวจังหวัดราว 15 กิโลเมตร การเดินทางไปเที่ยวที่ถ้ำแห่งนี้สะดวกที่สุดคือลงเรือที่ท่าเรือตำมะลัง ซึ่งเป็นท่าเรือแห่งใหม่ของจังหวัดสตูล เรือจะแล่นสู่ปากอ่าว ลัดเลาะไปตามลำคลอง สองข้างอุดมด้วยป่าโกงกาง มองเห็นสันเขายาวเหยียด พาดจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก คือทิวเขาสันกาลาคีรี
ซึ่งกั้นเขตประเทศไทยกับมาเลเซียไว้
ถ้ำลอดปูยูแตกต่างจากถ้ำทั่วไป มีคลองลอดในถ้ำคือมีภูเขาคร่อมคลองเอาไว้ ชื่อภูเขากับชื่อคลองเป็นชื่อเดียวกัน คือ “เขากายัง” กับ “คลองกายัง” ก่อนลอดถ้ำคลองจะกว้าง แต่พอลอดเข้าถ้ำ คลองค่อยแคบลงหรือสอบเข้ามา หลังคาถ้ำมีความโค้งเล็กน้อย ความยาวของช่วงที่ลอดถ้ำประมาณ 30 เมตร ถ้าช่วงน้ำลงเรือจะลอดผ่านไปมาได้สะดวก แต่ถ้ำน้ำขึ้นสูง เรือจะลอดผ่านได้ค่อนข้างลำบาก จุดเด่นของถ้ำลอดปูยู คือ หน้าผาสูงชันของเขากายัง แท่งหินที่มีรูปร่างประหลาดกับหินงอกหินย้อยที่ปรากฏตามเพดานถ้ำ อีกด้านหนึ่งจะมีป่าโกงกางที่อุดมสมบูรณ์
ถ้ำลอดปูยูมีลักษณะคล้ายคลึงกับถ้ำลอดที่พังงา ต่างกันตรงที่ว่า พังงาอยู่ในทะเล แต่ถ้ำลอดปูยูตั้งอยู่บริเวณป่าชายเลน เป็นภูเขาคร่อมคลอง นอกจากนั้นผู้ที่ไปเที่ยวที่ถ้ำลอดปูยู ยังมีโอกาสไปเที่ยวถ้ำกายัง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลนัก เป็นถ้ำขนาดเล็ก มีความสวยงาม อยู่ในระหว่างการปรับปรุงเป็นแหล่งท่องเที่ยวของอุทยานขณะนี้
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล....ศูนย์รวมวัฒนธรรมเมืองสตูล
ต. พิมาน อ.เมือง
เป็นลักษณะอาคารตึก 2 ชั้น การก่อสร้างเป็นศิลปะที่ผสานกันอย่างสวยงาม คือ อาคารตัวตึกเป็นแบบตะวันตก ประตูหน้าต่างรูปโค้งสถาปัตยกรรมโรมัน หลังคาแบบช่องลมด้านบนตกแต่งรูปดาวซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบมุสลิม ภายในมีห้องจัดแสดงโบราณวัตถุและห้องจัดนิทรรศการ ให้ความรู้เรื่องศิลปวัฒนธรรม ประเพณี
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสตูล ( คฤหาสน์กูเด็น ) ตั้งอยู่ที่ถนนสตูลธานี ซอย 5 เขตเทศบาลเมืองสตูล อยู่ตรงข้ามกับสำนักงานที่ดินจังหวัดสตูล เป็นอาคารเก่าแก่สร้างขึ้นสมัยพระยาภูวนารถภักดีเป็นผู้ว่าราชการเมือง ตัวอาคารมีอายุ 100 ปีเศษ นับเป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดสตูล กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2532 ได้เริ่มบูรณะตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 เป็นต้นมา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีได้เสด็จมาทรงเปิดพิพิธภัณฑ์อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2543 พิพิธภัณฑ์เปิดให้ประชาชนเข้าชมในวันพุธถึงวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.00 น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ หยุดในวันจันทร์และอังคาร
การเดินทาง
รถยนต์จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 ผ่านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 41 ผ่านเข้าเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง จากพัทลุงไปอำเภอรัตนภูมิ จังหวัดสงขลา ให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 แล้วแยกขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 406 ถึงจังหวัด สตูลระยะทาง 973 กม.
รถโดยสารเปิดบริการเดินรถโดยสารปรับอากาศและรถธรรมดา ระหว่างกรุงเทพฯ-สตูล ทุกวัน มีรถโดยสารออกจากสถานีขนส่งสายใต้ ถนนบรมราชชนนี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 ชม. ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ รถปรับอากาศ โทร. 435-1199, 435-1200 และ 434-1792
ทางรถไฟการเดินทางโดยรถไฟ สามารถเดินทางไปกับขบวนรถกรุงเทพฯ-ยะลา หรือ กรุงเทพฯ-หาดใหญ่ได้โดยลงที่สถานีรถไฟหาดใหญ่ จากนั้นนั่งรถแท็กซี่ หรือรถประจำทางเข้าจังหวัดสตูลระยะทางประมาณ 97 กม. ติดต่อสอบถามรายละเอียดกำหนดการเดินรถไฟได้ที่หน่วยบริการเดินทางการรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 223-7010, 223-7020, 225-0300 ต่อ 5100
ทางอากาศ โดยบริษัท การบินไทย จำกัด คล้ายกับการเดินทางรถไฟ คือ ต้องไปลงที่สนามบินหาดใหญ่ แล้วต่อรถแท็กซี่เข้าจังหวัดสตูลอีกประมาณ 97 กม. ติดต่อรายละเอียดได้ที่ บริษัท การบินไทย จำกัด ถนนหลานหลวง โทร. 280-0060-89
ทุกวันนี้ เกาะหลีเป๊ะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของอุทยานแห่งชาติตะรุเตา นักท่องเที่ยวได้ไปสัมผัสชีวิตที่เรียบง่ายของชาวเล ดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมประเพณีของพวกเขา พวกชาวเลใช้ภาษาตระกูลออสโตรเนเชียน บางคำก็ยืมมาจากภาษามลายู เนื่องจากนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาตินิยมไปท่องเที่ยวกันมากในแต่ละปี ทำให้วิถีชีวิตของชาวเลแตกต่างไปจากเดิม
ถ้ำลอดปูยูแตกต่างจากถ้ำทั่วไป มีคลองลอดในถ้ำคือมีภูเขาคร่อมคลองเอาไว้ ชื่อภูเขากับชื่อคลองเป็นชื่อเดียวกัน คือ “เขากายัง” กับ “คลองกายัง” ก่อนลอดถ้ำคลองจะกว้าง แต่พอลอดเข้าถ้ำ คลองค่อยแคบลงหรือสอบเข้ามา หลังคาถ้ำมีความโค้งเล็กน้อย ความยาวของช่วงที่ลอดถ้ำประมาณ 30 เมตร ถ้าช่วงน้ำลงเรือจะลอดผ่านไปมาได้สะดวก แต่ถ้ำน้ำขึ้นสูง เรือจะลอดผ่านได้ค่อนข้างลำบาก จุดเด่นของถ้ำลอดปูยู คือ หน้าผาสูงชันของเขากายัง แท่งหินที่มีรูปร่างประหลาดกับหินงอกหินย้อยที่ปรากฏตามเพดานถ้ำ อีกด้านหนึ่งจะมีป่าโกงกางที่อุดมสมบูรณ์
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสตูล ( คฤหาสน์กูเด็น ) ตั้งอยู่ที่ถนนสตูลธานี ซอย 5 เขตเทศบาลเมืองสตูล อยู่ตรงข้ามกับสำนักงานที่ดินจังหวัดสตูล เป็นอาคารเก่าแก่สร้างขึ้นสมัยพระยาภูวนารถภักดีเป็นผู้ว่าราชการเมือง ตัวอาคารมีอายุ 100 ปีเศษ นับเป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดสตูล กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2532 ได้เริ่มบูรณะตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 เป็นต้นมา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีได้เสด็จมาทรงเปิดพิพิธภัณฑ์อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2543 พิพิธภัณฑ์เปิดให้ประชาชนเข้าชมในวันพุธถึงวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.00 น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ หยุดในวันจันทร์และอังคาร
รถโดยสารเปิดบริการเดินรถโดยสารปรับอากาศและรถธรรมดา ระหว่างกรุงเทพฯ-สตูล ทุกวัน มีรถโดยสารออกจากสถานีขนส่งสายใต้ ถนนบรมราชชนนี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 ชม. ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ รถปรับอากาศ โทร. 435-1199, 435-1200 และ 434-1792
ทางรถไฟการเดินทางโดยรถไฟ สามารถเดินทางไปกับขบวนรถกรุงเทพฯ-ยะลา หรือ กรุงเทพฯ-หาดใหญ่ได้โดยลงที่สถานีรถไฟหาดใหญ่ จากนั้นนั่งรถแท็กซี่ หรือรถประจำทางเข้าจังหวัดสตูลระยะทางประมาณ 97 กม. ติดต่อสอบถามรายละเอียดกำหนดการเดินรถไฟได้ที่หน่วยบริการเดินทางการรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 223-7010, 223-7020, 225-0300 ต่อ 5100
ทางอากาศ โดยบริษัท การบินไทย จำกัด คล้ายกับการเดินทางรถไฟ คือ ต้องไปลงที่สนามบินหาดใหญ่ แล้วต่อรถแท็กซี่เข้าจังหวัดสตูลอีกประมาณ 97 กม. ติดต่อรายละเอียดได้ที่ บริษัท การบินไทย จำกัด ถนนหลานหลวง โทร. 280-0060-89
หมู่เกาะอาดัง-ราวี เป็นเกาะกลุ่มสุดท้ายของอุทยานแห่งชาติตะรุเตา และเป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ จึงมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เรือนแถวรับรอง ลานกางเต็นท์ และร้านอาหารที่อยู่ภายใต้การควบคุมของอุทยานฯ และยังมีชายหาดที่สวยงาม มีป่าไม้ที่สมบูรณ์ มีนกป่านานาชนิด รวมทั้งยังมีปะการังน้ำตื้นซึ่งเหมาะสำหรับการดำน้ำแบบสน๊อกเกิ้ล
เกาะไข่ เป็นเกาะที่มีหาดทรายขาวเนียนละเอียดและมีช่องหินที่สามารถลอดผ่านได้ อันเป็นปฎิมากรรมปั้นแต่งจากธรรมชาติที่สวยงามจึงได้รับเลือกเป็นเกาะสัญลักษณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดสตูล
เกาะหินงาม เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่ไม่มีหาดทรายแต่เป็นหาดที่มีก้อนหิน กรม รี วางเรียงรายอยู่เต็มเกาะ ยามน้ำทะเลซัดขึ้นมาก้อนหินเหล่านี้จะเปียกชุ่ม ส่องประกายมันวาวสะท้อนไปทั่วหาดหิน ยามน้ำลงแนวหาดหินจะปรากฏกว้างยิ่งขึ้นและจะตัดกับน้ำทะเลสีมรกต ซึ่งเป็นธรรมชาติที่สวยงามที่หาดูได้ยากในที่อื่น ๆ
เกาะยาง เป็นแหล่งดำน้ำชมปะการังและฝูงปลาที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่ง ด้านหน้าเกาะมีหาดทรายขาวนวล น้ำทะเลสีสวย
เกาะดง เป็นเกาะใหญ่และมีเกาะบริวารเล็ก ๆ ทางทิศใต้อีก 6 เกาะ ภูมิประเทศบนเกาะส่วนใหญ่เป็นโขดหินและหน้าผาสูงชัน มีป่าที่สมบูรณ์ ส่วนเกาะบริวารที่รายรอบนั้นเป็นเกาะหินขนาดเล็ก เช่น เกาะหินซ้อน ซึ่งอยู่ห่างจากเกาะดงประมาณ 200 เมตร ลักษณะโดดเด่นคือ มีก้อนหินตั้งเป็นชั้น ๆ ด้านหน้าเกาะ มีแหล่งดำน้ำตื้นชมปะการังและฝูงปลาได้
เกาะลองกวย มีจุดเด่นคือ มีชายหาดทรายที่ขาวสะอาด มีลักษณะเป็นแหลมสามเหลี่ยมยื่นออกไปในทะเล มีโขดหินระเกะระกะที่หัวเกาะ เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเกาะราวีที่ทอดตัวยาวอยู่ทางขวา